ไข้หรือตัวร้อนในเด็ก
ไม่ได้เป็นโรค แต่เป็นอาการของโรค คาจากัดความของไข้แบง่ ตามอายุได้ดังนี้ ในทารกวัย 4 สัปดาห์แรกหลังเกิด หมายถึง อุณหภูมิกายแกนกลางร่างกายสูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส ในทารกพ้นวัย 1 เดือน มีความแตกต่างของคาจากัดความ ที่กาหนดเป็นลายลักษณ์อักษรคืออุณหภูมิเท่ากับ หรือสูงกว่า 38.0 องศาเซลเซียส (เอกสารในบรรณานุกรม)
การวัดอุณหภูมิ
อุณหภูมิที่ใช้ต้องเป็นอุณหภูมิแกนกลางร่างกาย ได้แก่อุณหภูมิที่วัดทางปากหรือทวารหนัก เด็ก อายุมากกว่า 4 ปีให้วัดทางปาก ถ้าไม่ร่วมมือ ให้วัดทางรักแร้ด้วยปรอทแก้วหรือดิจิตัล ค่าที่วัดจะเชื่อถือได้เมื่อวัด นานจนเสียงสัญญาณครั้งที่ 2 ดัง ซึ่งใช้เวลาวัดอุณหภูมิรักแร้นานประมาณ 9 นาที ค่าที่ได้จะเท่ากับการวัดอุณหภูมิ แกนกลางร่างกาย ค่าที่อ่านเมื่อเสียงสัญญาณแรกดังจะสูงกว่าความเป็นจริง (ค่าที่อ่านเมื่อเสียงสัญญาณครั้งที่ 2 ดัง) การวัดด้วยวิธีอื่น เช่น การวัดที่หู หรือหน้าผาก เป็นวิธีที่ไม่แม่นยา
ความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง
เวลามีไข้ไม่จาเป็นว่าทุกส่วนของร่างกายจะต้องร้อนเท่ากันหมด อาจร้อนที่ศีรษะ ลาตัว และ แขนขา แต่ฝ่ามือฝ่าเท้าเย็น ในสังคมไทยมีความเชื่อที่สืบทอดมาแต่โบราณว่า การที่ศีรษะร้อนแต่เย็นที่ฝ่ามือฝ่าเท้า หมายถึงว่า ผู้ป่วยมีอาการหนัก ซึ่งเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องและก่อความทุกข์ใจให้แก่คนเชื่อมาก
สาเหตุของไข้
ไข้เป็นอาการอย่างหนึ่งของการเจ็บปว่ ย เกิดจากสาเหตุมากมาย และระยะเวลาที่ไข้จะปรากฏในแต่ละ โรคจะยาวนานต่างกัน ตัวอย่างโรคที่เป็นสาเหตุของไข้ที่พบบ่อย
- โรคหวัด(cold)มีไข้ไม่สูงหรือไม่มีอาการไข้จะมีราว3-4วัน ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อนเช่นหูอักเสบไซนัสอักเสบ หรือปอดบวม
- ไข้หวัดใหญ่ ผู้ป่วยจะมีไข้สูง (น้อยรายไม่มีไข้) ปวดเบ้าตา ปวดท้อง ปวดเมื่อยตามแขนขา อาการไข้ ปรากฏอยู่ 4-5 วัน ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและพบบ่อยคือปอดอักเสบ
- ไข้เลือดออก ไข้สูง ร่วมกับอาการซึม ใบหน้าแดง เบื่ออาหารอย่างมาก คลื่นไส้ อาเจียน ปวดใต้ชายโครง ข้างขวา จุดเลือดออกที่ผิวหนัง บางคนจะมีอาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายอุจาระสีดาเหมือนน้ามันดิน และเมื่อไขเ้ ริ่มลดลง (ประมาณ 3-7 วัน หลังปรากฎอาการป่วย) อาจเกิดภาวะช็อค
- ปอดอักเสบหรือปอดบวม มีอาการของโรคหวัด หรือไข้หวัดใหญ่ นามาก่อน ต่อมามีอาการไข้สูงขึ้น หรือ ไข้ยังสูงต่อเนื่อง ไอมากขึ้น และหายใจเร็วกว่าปรกติ (ในทารกแรกเกิดอัตราหายใจเกิน 60/นาที) หายใจหอบ (รูจมูก บาน ช่องซี่โครงบุ๋ม เป็นต้น) เบื่ออาหาร ผู้ป่วยจาเป็นต้องอยู่รักษาในโรงพยาบาลเพื่อให้สารน้าทางหลอดเลือด ช่วย ให้ได้น้าและอาหารทดแทนที่ได้ทางปากไม่เพียงพอ และต้องให้ออกซิเจนเพื่อแก้ไขภาวะเลือดขาดออกซิเจน และยา ต้านจุลชีพหรือต้านไวรัส
จากตัวอย่างที่กล่าวมาคุณแม่คุณพ่อจะเห็นว่าไข้หรือตัวร้อนเป็นเพียงอาการของโรคอย่างหนงึ่เท่านนั้ เมื่อ ท่านเข้าใจอย่างนี้แล้ว เมื่อบุตรของท่านมีไข้หรือตัวร้อน ท่านจะได้ไมว่าวิตกเรื่องไข้ แต่ควรวิตกว่า โรคอะไรที่ทาให้บุตร ของท่านมีไข้ ถ้ามสี าเหตุจากโรคหวัด ท่านก็ไม่ควรวิตกเพราะปรกติมักไม่มีโรคแทรกซ้อนใดๆ และไข้จะหายใน 3-4 วัน ถ้าเกิดจากไข้หวัดใหญ่ ความเสี่ยงต่อปอดอักเสบจะสูง และถ้าเกิดจากไข้เลือดออก ท่านควรวิตก เพราะอาจเกิด ภาวะแทรกซ้อนได้มากมายและอาจถึงชีวิตได้
ยาลดไข้
ยาลดไข้เป็นเพียงยาบรรเทา ไม่ใช่ยารักษาสาเหตุที่ทาให้เกิดไข้ กล่าวคือ เมื่อกินยา 1 ครั้ง ยาจะออกฤทธิ์ ลดไข้อยู่ไดน้ าน 4-6 ชั่วโมง ถา้ สาเหตุที่ทาให้เกิดไข้ยังไม่หาย เมื่อยาหมดฤทธิ์แล้วไข้ก็จะปรากฏใหม่ ท่านก็ค่อยให้ยา ใหม่ ถ้าบุตรของท่านมีไขไ้ ม่สูง มีเพียงศีรษะอุ่น ไม่กวน หรือกระวนกระวาย ไม่มีความจาเปน็ ตอ้ งใช้ยาลดไข้ เพราะยา ลดไข้เป็นเพียงยาระงบั หรือบรรเทาไข้ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น
ยาลดไข้ ยาลดไข้ไม่ใช่ยาที่ปราศจากโทษยาที่ใช้มี2ชนิดคือ
1) พาราเซทามอล หรือ อะเซทามิโนเฟน
ขนาดยาที่ใช้:
10 มก./กก./มื้อ ซ้าได้ทุก 4 ชม. เมื่อกลับมีไข้อีก
ยาปรุงสาเร็จ:
ชนิดหยด 1 มล. มีตัวยา 100 มก
ชนิดน้ำเชื่อม 1 ช้อนชา (5 มล.) มีตัวยา 120, 250 มก.
ชนิดเม็ด 1 เม็ด มีตัวยา 325, 500 มก.
พิษของยา:
ขนาดสูงเกิน ทำให้ตับถูกทำลาย อาจทำให้เสียชีวิตเนื่องจากตับล้มเหลว
2) Ibuprofen ขนาดสูงเกิน มักใช้เมื่อให้พาราเซทามอลแล้ว30-45นาทีแล้วไข้ไม่ลดลง
ขนาดยาที่ใช้:
10 มก./กก./มื้อ ซ้าได้ทุก 6 ชม. เมื่อกลับมีไข้อีก
ยาปรุงสาเร็จ:
ชนิดแขวนตระกอน(suspension)1ช้อนชา(5มล.) มีตัวยา100มก.
ชนิดเม็ด 1 เม็ด มีตัวยา 200, 400 มก.
ฉะนั้น ท่านจึงควรให้ยาลดไข้เมื่อเด็กมีอุณหภูมิกายถึงเกณฑ์ของไข้เท่านั้น (กุมารแพทย์ในสหรัฐอเมริกา แนะนาให้ยาลดไข้เมื่ออุณหภูมิเกิน 38.3 องศาเซลเซียส) หรือกระวนกระวาย ไม่สุขสบายตัว และให้ในขนาดที่ เหมาะสมกับน้าหนักตัว ห้ามให้ถี่กว่าทุก 4 ชั่วโมงเมื่อให้พาราเซทามอล และทุก 6 ชั่วโมงเมื่อให้ Ibuprofen ถ้าให้ ยาลดไข้แล้วไข้ไม่ลด ควรให้เด็กดื่มน้าเพิ่ม เพื่อแก้ร่างกายขาดน้า ร่วมกับการเช็ดตัวด้วยน้าประปาจนกว่าไข้จะลด ท่านไม่จาเป็นต้องพาเด็กไปพบแพทย์ทันทีของการมีไข้ ถ้าเด็กยังคุย เล่น หรือดูทีวีได้ ท่านเพียงให้ยาลดไข้ เป็นครั้ง เป็นคราว แต่ถ้ามีไข้สูง แล้วให้ยาลดไข้ และการเช็ดตัว หรือมีไข้นาน 48-72 ชม. แล้ว อาการไข้ยังไม่ทุเลา ร่วมกับไม่ คุย ไม่เล่น ไม่ดูทีวี จึงควรพาไปพบแพทย์ ไข้จะหายเองเมื่อถึงกาหนดระยะของโรค แม้ไปพบแพทย์เร็วก็ไม่ได้ช่วยให้ หายไข้เร็วขึ้น
อาการแทรกซ้อน
อาการแทรกซ้อนของไข้ที่ต้องระวังคือ การชักจากไข้สูง ซึ่งพบในช่วงอายุ 6 เดือน ถึง 6 ปี เด็กที่เคยชัก เวลามีไข้สูงหรือ มีประวัติชักในครอบครัวเมื่อไข้สูง ต้องระวังการมีไข้เป็นพิเศษ โดยให้ยาลดไข้เพื่อป้องกันไม่ให้ไข้สูง และเช็คตัวถ้าโดยเช็คตัวและให้ยาลดไข้เพื่อป้องกันไม่ให้ไข้สูง ชักเวลามีไข้สูงหรือ มีประวัติชักในครอบครัวเมื่อไข้สูง ต้องระวังการมีไข้เป็นพิเศษ โดยรีบให้ยาลดไข้ และรีบเช็คตัว ขณะรอยาแก้ไข้ออกฤทธิ์ (กินเวลา 30-45 นาที) ต้องไม่รอ จนไข้ขึ้นสูง
สิ่งที่ต้องตระหนัก
ยาปฏิชีวนะไม่ช่วยให้ไข้หาย แต่มักก่อปัญหาจากฤทธิ์ไม่พึงประสงค์ของยา เช่น อาเจียน ท้องเสีย และการ ดื้อยา ยาปฏิชีวนะใช้เมื่อมีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้าเติม (เช่นหูหรือไซนัสอักเสบ ปอดอักเสบจากแบคทีเรีย) ขณะมีไข้สูง เด็กจะกินอาหารได้น้อยลง ทาให้มีกากอาหารในลาไส้น้อย มีผลทาให้ไม่ถ่ายอุจจาระ ใน สังคมไทยมีความเชื่อว่า ถ้าเด็กไม่ถ่ายอุจจาระจะทาให้ไข้ยิ่งสูง ความเชื่อนี้ต้องการการแก้ไข ท่านไม่ควรใช้วิธีการใดๆ ทำให้เด็กถ่าย
ข้อมูลโดย
ศ.เกียรติคุณ นพ.เกรียงศักดิ์ จีระแพทย์
ภาควิชากุมารเวชศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
https://www.uptodate.com/contents/fever-in-children-beyond-the-basic.