สังคมกับความเปราะบางของผู้สูงอายุ
ในปี 2561 ที่ผ่านมา นับเป็นครั้งแรกที่สัดส่วนของผู้สูงอายุมีมากกว่าสัดส่วนประชากรวัยเด็ก โดยไทยมีสัดส่วนผู้สูงอายุเกือบ 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมดของประเทศ จำนวนผู้สูงอายุในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนปัจจุบันประเทศไทยได้ก้าวเข้ามาเป็นสังคมสูงวัยที่กำลังจะกลายเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ในอีก 3 ปีข้างหน้า อันเป็นผลมาจากการที่คนไทยมีอายุยืนยาวขึ้น ในขณะที่จำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลง ส่งผลให้ประชากรวัยแรงงานมีแนวโน้มลดลงไปด้วย โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไปนี้ย่อมส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ เนื่องด้วยแบบแผนของสังคมไทยที่ครอบครัวนั้นมีส่วนสำคัญในการดูแลผู้สูงอายุ แต่ผลจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ทำให้แบบแผนการอยู่อาศัยร่วมกันในครอบครัวของผู้สูงอายุเปลี่ยนแปลงไป โดยในงานวิจัยเรื่อง “การดูแลผู้สูงอายุในครัวเรือนซึ่งมีรูปแบบการอยู่อาศัยที่หลากหลายในสังคมไทย เพื่อประเมินความเข้มแข็งและความต้องการสนับสนุนของครัวเรือน” ได้ชี้ให้เห็นภาพการดูแลผู้สูงอายุในสังคมไทย ผ่านการศึกษารูปแบบการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุไทยเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงการใช้ชีวิตร่วมกันของสมาชิกในครัวเรือนผู้สูงอายุ และชี้ให้เห็นนัยยะของการดูแลผู้สูงอายุในครัวเรือนเปราะบาง รวมถึงความต้องการสนับสนุนของครอบครัวในการดูแลผู้สูงอายุ
ผู้สูงอายุในครัวเรือนเปราะบาง
ผู้สูงอายุสำหรับประเทศไทยนั้นหมายถึงบุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งถือได้ว่าเป็นวัยที่มีความอ่อนแอและมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกชักจูง ครอบงำ และคุกคามจากปัจจัยเสี่ยงด้านต่าง ๆ เช่น สุขภาพ สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ดังนั้นในงานวิจัยนี้จึงได้ให้นิยาม “ความเปราะบาง” ด้านการดูแลผู้สูงอายุ กล่าวคือ ครัวเรือนที่ผู้สูงอายุต้องดูแลตนเอง ดูแลผู้สูงอายุด้วยกัน หรือต้องดูแลผู้อื่นที่อาศัยอยู่ในครัวเรือนเดียวกัน และต้องรับบทบาทในการดูแลตนเองหรือต้องดูแลคนอื่น โดยเราสามารถแบ่งรูปแบบการอยู่อาศัยของครัวเรือนผู้สูงอายุที่มีความเปราะบาง ออกเป็น 5 รูปแบบ ประกอบไปด้วย
- ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ตามลำพังคนเดียว
- ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่กับคู่สมรส
- ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่กับพ่อ/แม่และคู่สมรส
- ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในครัวเรือนข้ามรุ่น
- ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่กับคนอื่น ๆ ซึ่งไม่ใช่ญาติ
แต่ปัจจัยที่ทำให้ครัวเรือนผู้สูงอายุเกิดความเปราะบางนั้นไม่ได้มาจากรูปแบบการอยู่อาศัย หากเป็นผลมาจากปัจจัยภายนอก ได้แก่ การมีภาวะเจ็บป่วย ความยากจน ความพิการ สิ่งแวดล้อม การคมนาคมขนส่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ในครัวเรือน การที่ลูกหรือคนในครอบครัวใส่ใจ ดูแลผู้สูงอายุได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งจากงานวิจัยนี้พบว่ากว่า 1 ใน 3 ของผู้สูงอายุทั้งหมด (ร้อยละ 38) อาศัยอยู่ในครัวเรือนเปราะบาง โดยประมาณครึ่งหนึ่งของผู้สูงอายุในครัวเรือนเปราะบาง (ร้อยละ 50) อาศัยอยู่กับคู่สมรสมากที่สุด รองลงมาคือ อาศัยอยู่ในครัวเรือนข้ามรุ่น (ร้อยละ 26) และอาศัยอยู่ตามลำพัง (ร้อยละ 23)
อาการของภาวะเปราะบาง 5 อย่าง ได้แก่
1.กล้ามเนื้ออ่อนแรง (Muscle Weakness)
ความอ่อนแรงของกล้ามเนื้อเป็นลักษณะเฉพาะของภาวะเปราะบางที่พบมากที่สุด เป็นสิ่งที่บ่งชี้การเริ่มต้นของภาวะนี้ ซึ่งสามารถประเมินได้จากการวัดแรงบีบของมือ ผู้สูงอายุที่ภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง มักยืนเองไม่ค่อยได้หรือไม่มีแรงหยิบจับของ
2.กิจกรรมทางกายต่ำ (Low physical activity)
เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายด้วยการหดตัวของกล้ามเนื้อลาย กระดูกและข้อ โดยไม่ทำให้เกิดการเผาผลาญพลังงานหรือใช้พลังงานเพิ่มจากภาวะปกติ สามารถประเมินได้จากความถี่และระยะเวลาของกิจกรรมที่ทำให้บุคคลเริ่มมีเหงื่อหรือหายใจเร็วขึ้น ผู้สูงอายุที่มีภาวะกิจกรรมทางกายต่ำ จะทำให้สมรรถภาพในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ลดลง
3.เดินช้าลง (Slowness walking)
วัดจากความเร็วของการเดินช้าลงร้อยละ 20 จากผู้สูงอายุปกติ ซึ่งผู้สูงอายุที่มีภาวะนี้จะใช้เวลาเดินที่มากขึ้นในระยะทางเท่าเดิม
4.ความเหนื่อยล้า (Poor endurance)
เป็นกลุ่มอาการที่จะมีความเหนื่อยล้าทางอารมณ์และความคิด รู้สึกว่าคุณค่าในตัวเองลดลง ขาดความกระตือรือร้นและความเชื่อมั่นในตัวเอง ผู้สูงอายุที่ประสบภาวะนี้จะรู้สึกเหนื่อยง่าย โดยที่ยังไม่ได้ทำอะไร
5.น้ำหนักตัวลดลงโดยที่ไม่ได้ตั้งใจลด (Unintentional weight loss)
ผู้สูงอายุที่มีภาวะนี้จะมีน้ำหนักตัวลดลงมากกว่า 4.5 กิโลกรัมหรือมากกว่าร้อยละ 5 ของน้ำหนักตัวในระยะเวลา 1 ปี
วิธีการป้องกัน
- กระตุ้นให้ร่างกายเคลื่อนไหว : ด้วยการออกกำลังกายเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอ
- จัดโภชนาการที่ดี : รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผักและผลไม้ รวมถึงน้ำสะอาดวันละ 8-10 แก้ว
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ : ผู้สูงวัยควรนอนหลับให้ได้วันละ 7-8 ชั่วโมง ควรเข้านอนและตื่นนอนให้เป็นเวลา เพื่อสุขภาวะที่ดี
- จัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุ : สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้สูงอายุ ด้วยการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกในที่อยู่อาศัย เพื่อความปลอดภัยและเอื้อต่อการมีสุขภาพดี
- ดูแลทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ : สังเกตสุขภาพของผู้สูงอายุอยู่เสมอ หากมีโรคประจำตัวต้องทานยาตามแพทย์สั่งและพบแพทย์ตามนัด เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็หมั่นชวนผู้สูงอายุคุยเล่น หรือทำกิจกรรมส่งเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัว เพื่อการมีสุขภาพจิตที่ดี
- เข้ารับวีคซีนที่ควรฉีดในผู้สูงอายุ : ผู้สูงอายุควรเข้ารับการฉีดวัคซีน เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะเสื่อมสมรรถภาพเมื่ออายุมากขึ้น การฉีดวัคซีนจึงถือเป็นการป้องกัน และลดความรุนแรงของการเกิดโรคอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งวัคซีนที่ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทยแนะนำให้ฉีด มีดังนี้
6.1.วัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักและคอตีบ
6.2.วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตาย
6.3.วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี
6.4.วัคซีนวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัสชนิดโพลีแซคคาไรด์และชนิดคอลจูเกต
นอกจากนี้ ผู้วิจัยยังได้เข้าไปศึกษาการได้รับการดูแลของผู้สูงอายุตามรูปแบบการอยู่อาศัยใน 4 ด้าน ประกอบไปด้วย ด้านร่างกาย ด้านจิตใจ ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคม โดยพบว่าการได้รับการดูแลในด้านร่างกายของผู้สูงอายุแต่ละรูปแบบการอยู่อาศัยมีความแตกต่างกันตามบริบทของการอยู่อาศัย ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันกับลูก จะได้รับการดูแลและการสนับสนุนโดยตรง ทั้งในด้านการหาอาหารและการพาไปหาหมอ ในขณะที่ผู้สูงอายุที่มีลูกอยู่ห่างไกลจะได้รับการดูแลเป็นตัวเงินที่ส่งมา รวมถึงผ่านทางการไหว้วานเพื่อนบ้านให้ไปรับส่งและช่วยค่าน้ำมันเป็นสินน้ำใจ
ด้านจิตใจนั้นพบว่า ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ตามลำพังคนเดียวจะต้องการการดูแลในด้านจิตใจมากที่สุด มีความต้องการให้เพื่อนบ้านหรือคนในชุมชนมาเยี่ยมเยียน พบปะพูดคุย โดยปัญหาหนึ่งที่ผู้สูงอายุในครัวเรือนเปราะบางกังวลใจมากคือ “ปัญหาการกลัวตายตามลำพังคนเดียว” ในขณะที่ผู้สูงอายุที่อาศัยในรูปแบบอื่น ๆ จะได้รับการดูแลในด้านจิตใจมากกว่า เพราะมีคนในครอบครัวอยู่ด้วยจึงไม่รู้สึกเหงา และได้รับความเอาใจใส่ในเรื่องการดูแล
ด้านเศรษฐกิจนั้น ผู้สูงอายุในทุกรูปแบบการอยู่อาศัยจะมีรายได้หลักมาจากเงินที่ลูกหลานส่งกลับมาให้ในกรณีที่ลูกหลานมีรายได้มากพอ และได้รับเบี้ยยังชีพ สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่กับหลานจะมีความเปราะบางทางด้านเศรษฐกิจมากที่สุด เนื่องจากรายได้หลักที่คาดหวังว่าจะได้รับจากบุตรที่ย้ายถิ่นไปทำงานนั้นไม่เพียงพอ หรือบางครั้งก็ไม่ได้รับเงินส่งกลับมาเลย ดังนั้นผู้สูงอายุกลุ่มนี้จึงมีความต้องการให้มีการส่งเสริมอาชีพสำหรับผู้สูงอายุในบ้าน นอกจากนี้ยังพบอีกว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ในช่วงอายุ 60-74 ปี ยังคงต้องทำงานเพื่อหารายได้มาใช้จ่าย โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ตามลำพังคนเดียว
ในด้านสุดท้ายคือ ด้านสังคม พบว่าผู้สูงอายุในเขตเมืองและเขตชนบทบางแห่งที่ชุมชนเข้มแข็ง มีการรวมกลุ่มผู้สูงอายุในลักษณะต่าง ๆ เช่น ชมรมผู้สูงอายุ โรงเรียนผู้สูงอายุ กลุ่มออมทรัพย์ และการมีรถรับ-ส่งในการเดินทางไปสถานพยาบาล ฯลฯ ทำให้ผู้สูงอายุมีเครือข่ายทางสังคมที่ดี ซึ่งส่งผลต่ออารมณ์และสภาพจิตใจของผู้สูงอายุอีกด้วย โดยการที่ชุมชนมีผู้นำที่ดี ตระหนักและให้ความสำคัญในเรื่องนี้ ย่อมส่งผลให้ผู้สูงอายุในพื้นที่ดังกล่าวได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง
นอกจากนี้ในการศึกษาดังกล่าวยังพบว่า รูปแบบการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุได้มีการเปลี่ยนแปลงและมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยพบว่าประเทศไทยเริ่มมีรูปแบบการอยู่อาศัยที่ผู้สูงอายุอาศัยอยู่กับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ญาติบ้างแล้ว เช่น มีการอยู่อาศัยร่วมกับผู้ดูแล การอยู่อาศัยร่วมกับเพื่อน และการอยู่อาศัยร่วมกับสัตว์เลี้ยง ฯลฯ
ความต้องการการดูแลและแนวทางรับมือของผู้สูงอายุ จากการศึกษาในเรื่องการได้รับการดูแลในด้านต่าง ๆ ของผู้สูงอายุในครัวเรือนเปราะบางนั้น สะท้อนให้เห็นว่า “เพื่อนบ้าน” ที่อาศัยใกลักับบ้านผู้สูงอายุเป็นเสมือน “จิ๊กซอว์” สำคัญ ที่ช่วยเติมเต็มการดูแลในด้านต่างๆ ของผู้สูงอายุ ทั้งในเรื่องของการแบ่งปันสิ่งของ อาหาร การแวะเวียนทักทาย รวมถึงการชักชวนไปเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมต่างๆ เพื่อเป็นการเติมเต็มให้ผู้สูงอายุมีความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง นอกจากนี้ผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่คนเดียว โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่กับหลานที่มีความเปราะบางด้านเศรษฐกิจมากที่สุดนั้น มีความต้องการอยากให้มีการส่งเสริมอาชีพสำหรับผู้สูงอายุ เช่น การฝึกอาชีพในชมรมผู้สูงอายุหรือโรงเรียนผู้สูงอายุ โดยมองว่าอยากให้เป็นอาชีพที่ทำได้โดยอยู่ที่บ้านไม่ต้องออกไปทำงานข้างนอก
ดังนั้นแนวทางที่ภาครัฐจำเปฟ้นต้องพิจารณา คือ การส่งเสริมให้มี “ระบบเพื่อนบ้านที่ดี” รวมถึงการจัดให้มีองค์กรที่ส่งเสริมและดูแลผู้สูงอายุในด้านต่าง ๆ เช่น การจัดอาสาสมัคร การจัดกิจกรรมในชุมชนให้มากขึ้น ส่งเสริมความเข้มแข็งในสถาบันครอบครัว และการสร้างผู้นำที่เข้มแข็งและเห็นความสำคัญในด้านนี้ ส่วนการดูแลด้านเศรษฐกิจ หน่วยงานวิสาหกิจชุมชนควรส่งเสริมอาชีพให้ผู้สูงอายุมีรายได้ที่บ้านหรือในชุมชน
—————-
อ้างอิงข้อมูลจาก
วารสารสภาการพยาบาล ปีที่ 33 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม-กันยายน 2561, Pobpad.com
โครงการวิจัย “การดูแลผู้สูงอายุในครัวเรือนซึ่งมีรูปแบบการอยู่อาศัยที่หลากหลายในสังคมไทย เพื่อประเมินความเข้มแข็งและความต้องการสนับสนุนของครัวเรือน”
หัวหน้าโครงการ : ศุทธิดา ชวนวัน
สนับสนุนโดย : สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)